Friday, June 24, 2016

เบบี๋ในสนามวิ่งมินิมาราธอน | Intania Chula Mini Marathon 2015 (14 months)

"วิ่งมาราธอน" เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่กำลังได้รับความนิยมของใครหลายๆคน...แต่คงไม่ใช่กับเด็กวัย 14 เดือน นี่เป็นความคิดของมาม๊าในครั้งแรกที่ได้ยินคุณป๋าน้องอายบอกว่าอยากพาน้องอายไปวิ่งมินิมาราธอนระยะทาง 3.5 km. มาม๊าได้แต่หันไปมองคุณป๋าช้าๆแล้วถามว่า เอาจริงเหรอ - -")

แต่คุณป๋าตัดสินใจแน่วแน่ จัดแจงเอารายละเอียดการวิ่งมาให้ดูและสมัครวิ่งเสร็จเรียบร้อยก็พาเราสองแม่ลูกไปซื้อรองเท้าและชุดสำหรับซ้อมวิ่งเลยทันที เพราะวิ่งมินิมาราธอนคงไม่ใช่แค่การเตรียมพร้อมเรื่องเสื้อผ้าและรองเท้า แต่การเตรียมความพร้อมของร่างกายนั้นสำคัญที่สุดโดยเฉพาะสำหรับคนที่ออกกำลังกายน้อยมากอย่างมาม๊าและยังจะพาลูกเล็กไปวิ่งด้วย


หากถามถึงเหตุผลว่าเราพาเด็กเล็กๆไปวิ่งมินิมาราธอนทำไม? เหตุผลแรกคือนี่ถือเป็นโอกาสในการเริ่มต้นการออกกำลังกายของบ้านเรา (ซะที) เราได้จัดเวลาว่าต้องไปซ้อมวิ่งที่สวนรถไฟทุกอาทิตย์ก่อนลงสนามจริงเป็นเวลาสองเดือน การซ้อมวิ่งเลือกเวลาช่วงเช้าประมาณ 6.00 น. เพื่อให้เราทั้งบ้านคุ้นชินกับเวลาเมื่อต้องวิ่งจริง ของแถมคือได้โอกาสเปลี่ยนที่ทานข้าวเช้าของเด็กน้อยอีกด้วย ทานข้าวไปดูกระรอก ดูนก ดูต้นไม้ไป เบบี๋แฮปปี้มากเลยทีเดียว :)



และอีกเหตุผลที่สำคัญกว่าคือการได้ใช้เวลาทำกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆร่วมกันกับลูกของเรา ได้ลองพาเค้าไปเปิดหูเปิดตา ไปพบเจอผู้คนมากมายและบรรยากาศใหม่ๆในสนามวิ่งมาราธอน เราหวังว่าประสบการณ์และบรรยากาศเหล่านี้จะเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เด็กน้อยเติบโตอย่างมีความสุขต่อไป :D


เตรียมตัวยังไงเมื่อพาเบบี๋ไปวิ่ง


- รถเข็นเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่มีทางเลยที่จะแบกเบบี๋น้ำหนักเกือบสิบกิโลกรัมวิ่งได้ไกลขนาดนั้น ดังนั้นสิ่งที่ช่วยเราได้คือรถเข็นดีๆสักคัน แต่การจะทำให้เด็กน้อยนั่งได้นานๆตลอด 3.5 km. ก็เป็นสิ่งจำเป็นต้องฝึกเช่นกัน โชคดีที่เมื่อไปซ้อมวิ่งเราพบว่าน้องอายชอบนั่งรถเข็นขณะที่ป๋าวิ่งมากๆ (ผิดกับตอนไปห้างนั่งได้แป๊บๆก็จะลุกละ) นางคงรู้สึกว่า โอลมเย็น อากาศสบาย แถมได้ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆชิลจริงๆ

- รองเท้า ควรเลือกรองเท้าผ้าใบดีๆซักคู่ จะทำให้หนูน้อยเดินและวิ่งได้อย่างสบายเท้าและมีความสุขกับกิจกรรมที่ทำ ดูเรื่องการเลือกรองเท้าของเด็กได้ที่ My first shoes | รองเท้าคู่แรกของหนู เลือกอย่างไรดีนะ?

- ชุดสำหรับวิ่ง ผู้ใหญ่ใส่เสื้อผ้าอย่างไรก็ควรใช้หลักการเดียวกันกับการเลือกเสื้อผ้าให้เด็กน้อย คือระบายเหงื่อและอากาศได้ดีโดยเฉพาะในช่วงที่ต้องไปเจออากาศร้อนๆ สำหรับมาม๊าคิดว่าเสื้อกีฬาสำหรับเด็กเหมาะที่สุด (แต่บ้านเราแอบหายากจังเลย คุณป๋าบ่นตลอดว่าทำไมบ้านเราหาซื้อเสื้อกีฬาของเด็กเล็กยากจัง มีแต่เสื้อเจ้าหญิงฟรุ้งฟริ้งงุ้งงิ้งเต็มไปหมด ^^") น้องอายเลยได้เสื้อฟุตบอลทีมแมนยูสำหรับเด็กเล็กมา 1 ตัว

- กระเป๋าสำหรับใส่ของใช้จำเป็น (ต้องจำเป็นจริงๆเพราะเราต้องเข็นรถแบกน้ำหนักนี้ตลอดระยะเวลาการวิ่งนะจ๊ะ) เช่น แพมเพิส เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนหลังวิ่ง ผ้าอ้อม ทิชชู่เปียก น้ำดื่มของลูก เป็นต้น

เสื้อพร้อม กางเกงพร้อม รองเท้าพร้อม แม้แต่ BIB หนูก็พร้อม :D


เลือกสนามวิ่งมินิมาราธอน


การพาเบบี๋ไปวิ่งมาราธอนควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เลือกสนามวิ่งที่มีความปลอดภัย สะดวกในการหาอาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็ก หรือเพื่อความชัวร์อาจต้องพกอาหารสำหรับเด็กไปด้วย

สำหรับการวิ่งในครั้งนี้ค่อนข้างตอบโจทย์สำหรับมาม๊า เพราะโดยส่วนใหญ่สนามวิ่งอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งค่อนข้างมีความปลอดภัย การวิ่งเริ่มเวลา 5.00 น. และจบลงเวลาประมาณ 10.00 น. ทำให้ไม่ร้อนมากนัก อีกทั้งสถานที่ค่อนข้างร่มรื่นมีที่สำหรับให้เด็กน้อยได้นั่งพักนั่งเล่นหลายจุด ส่วนเรื่องอาหารและเครื่องดื่มก็เต็มอิ่มและอร่อยมากจีจี มาม๊าชอบมาก 555+


ของกินเยอะมาก หนูหม่ำไม่ทันเลยค่ะ
วันนี้หนูกินโจ๊กสามย่าน เหนียวไก่อักษร แล้วก็หมูสะเต๊ะลุงแจ๊ค | ป๋าพาหนูมาเปลี่ยนที่ปิกนิคใช่ป่ะคะ

3 คน 3.3 กิโล 30 นาที | 2 เหรียญสุดงาม กับ 4 ภาพสุดชิค | BIB ธรรมดา 2 กับ BIB น้อยปริ้นท์เอง 1


มาม๊าคิดว่าตัดสินใจไม่ผิดเลยสำหรับการวิ่งในครั้งนี้ เพราะน้องอายดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่างๆรอบตัวและไม่โยเยเลย (แต่มีเหี่ยวบ้างเมื่อง่วงและร้อน) ยอมนั่งในรถเข็นเกือบตลอดระยะทางและลงมาวิ่งเช้าเส้นชัยเองในช่วง 100 เมตรสุดท้าย ^^ เมื่อเสร็จกิจกรรมกลับบ้านนางชัตดาวท์ในรถหลับตลอดทางจนถึงบ้านและหลับตลอดช่วงเช้าเลยทีเดียว :D


Wednesday, June 15, 2016

DIY Colored rice | Learn with play at home (20 months)

มาสอนให้เด็กน้อยรู้จักสีสันผ่านการเล่นแบบสนุกๆกันดีกว่า มาม๊ามีข้าวสารย้อมสีของเล่นใหม่ทำเองก็ได้ง่ายจังแถมประหยัดตังค์ด้วยมาหลอกล่อเด็กน้อยให้เล่นไปพร้อมๆกับการเรียนแบบเนียนๆกัน



อุปกรณ์ในการทำ
- ข้าวสาร (มาม๊าเลือกแบบที่ราคาถูกที่สุด 1 กก. ราคา 50 บาท)
- ถุงพลาสติกซิปล๊อค (ตามจำนวนสีที่จะใช้ มาม๊าใช้ 4 ถุง)
- สีผสมอาหาร
- กล่องกระดาษ นำมาทำเป็นถาดสำหรับตากข้าวสารสีให้แห้ง

วิธีทำ
ตักข้าวสารใส่ในถุงซิปล๊อคจากนั้นค่อยๆหยดสีผสมอาหารลงไปทีละนิด ปิดถุงซิปแล้วค่อยๆเขย่าหรือขยำๆเบาๆให้ข้าวกับสีผสมกันจนได้ข้าวสารสีที่ต้องการ จากนั้นนำไปใส่ถาดและวางผึ่งลมไว้ (มาม๊าตากข้าวสารสีไว้ประมาณ 1 วัน) จากนั้นก็นำมาให้เด็กน้อยเล่นได้เลย


จุดประสงค์ของการเล่นข้าวย้อมสี 

เพื่อให้เด็กน้อยได้สำรวจสิ่งรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสต่างๆ (Sensory play) ตั้งแต่การจดจำและใช้สายตาในการมองสี ฝึกประสาทสัมผัสของกล้ามเนื้อมัดเล็กด้วยการใช้มือจับๆขยำๆข้าวสารเม็ดเล็ก ใช้ช้อนตักข้าวสารสีเทใส่กระป๋อง หรือได้โปรยข้าวเล่น...ไปทั่วบ้านอย่างสนุกสนาน (ตอนโปรยข้าวนี่มาม๊าสะอื้นหนักมาก T^T)




การเล่นข้าวสารย้อมสีสามารถดัดแปลงเล่นได้หลากหลายแบบ เช่น นำฝาขวดน้ำดื่ม ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ตัวอักษร abc หรืออะไรก็ได้ที่มีมาซ่อนไว้ในกองข้าวสารแล้วให้เด็กน้อยควานหา เด็กน้อยจะตื่นเต้นหัวเราะชอบใจทุกครั้งที่หาของเจอ




ช่วงหลังๆเด็กน้อยชอบตักข้าวไปเทใส่มุมนั้นมุมนี้ของบ้าน เช่น เทใส่สมุดแล้วปิดไว้ เทใส่ตุ๊กตา เทใส่กล่อง เทใส่ชั้นวางของ เทใส่โซฟา (แง๊ T^T) มาม๊าเลยวาดรูปวงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมใส่ถาดกระดาษลัง แล้วให้เด็กน้อยตักข้าวสารมาเทใส่ตรงรูปทรงที่มาม๊าบอกเป็นการสอนเรื่องรูปปทรงเรขาคณิตไปด้วยซะเลย เด็กน้อยสนุกกับการเล่นได้นานเลยทีเดียว





มาทำเรื่องเรียนให้เป็นเรื่องเล่นที่สนุกกันดีกว่า เพราะการเล่นเหล่านี้มีความสำคัญกับพัฒนาการของเด็กน้อยในหลายๆด้าน หากใครมีไอเดียในการเล่นแบบสนุกๆ อย่าลืมมาแชร์กันบ้างนะคะ <3

Sunday, June 12, 2016

เตรียมตัวอย่างไร เมื่อพาเบบี๋ไปดูบอล!!

ไม่กี่วันมานี้หลายๆบ้านคงแฮปปี้กับชัยชนะของฟุตบอลแมทช์สำคัญที่ทีมชาติไทยสามารถคว้าชัยชนะมาได้อย่างสวยงาม ฟุตบอลแมทช์ที่ว่านั้นคือฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 44 (King’s Cup 2016) จัดที่ราชมังคลากีฬาสถานนั่นเอง และสำหรับบ้านนี้ซึ่งมีคุณป๋าชื่นชอบการดูบอลมากกก..เป็นพิเศษ คุณป๋าจึงคิดการใหญ่วางแผนพาเด็กน้อยวัย 1.8 ขวบไปดูฟุตบอลถึงในสนามกันเลยทีเดียว


แน่นอนว่าการพาเด็กเล็กไปดูฟุตบอลแมทช์ใหญ่ๆนอกจากเด็กๆจะต้องเจอกับผู้คนเป็นจำนวนมากแล้ว ยังต้องเจอสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เช่นเสียงเพลงและเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่ม แถมยังต้องเจอสภาพอากาศที่ร้อนจัดอีกด้วย (และบางทีก็มีฝนตก - -") คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องเตรียมตัวและดูแลเด็กๆของเราอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดูฟุตบอลเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดการแข่งขันและไม่สร้างความรำคาญใจซึ่งจะเป็นการรบกวนการชมฟุตบอลของแฟนบอลคนอื่นๆด้วย เพราะลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนนะจ๊ะ ^^"

เตรียมตัวอย่างไรเมื่อต้องพาเด็กเล็กไปดูบอล

ประเมินความพร้อมของลูก
เด็กเล็กๆส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนแปลกหน้า ประกอบกับการต้องเจอสภาพแวดล้อมที่แปลกไปจากที่เคยเจอ เช่น เสียงดังจากการเชียร์บอล เสียงดนตรีต่างๆทำให้เด็กบางคนอาจจะตกใจกลัวและร้องไห้โยเยได้ คุณป๋าจึงเตรียมความพร้อมให้น้องอายด้วยการพาไปดูบอลแมทช์เล็กๆซึ่งมีผู้ชมไม่เยอะก่อนในครั้งแรกเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆรอบตัว ในการไปดูบอลครั้งนั้นน้องอายตกใจเล็กน้อยกับเสียงเชียร์ดังๆเหมือนกันนะแต่ก็ค่อยๆปรับตัวได้ในที่สุด



จัดกระเป๋าไปดูบอล
ของที่ต้องเตรียมไปส่วนใหญ่มาม๊าจะมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเพราะเป็นของที่จำเป็นต้องใช้เมื่อต้องออกจากบ้าน ได้แก่
- ของกิน เช่น นมที่น้องดื่ม ขนมสำหรับเด็ก น้ำดื่ม
- Baby wipes หรือผ้าเปียกเช็ดทำความสะอาด เป็นสิ่งที่จำเป็นมากใช้เช็ดได้ทุกอย่างตั้งแต่หน้าจนถึงก้นเลยทีเดียว
- ผ้าอ้อม สำหรับเช็ดหน้าหรือเช็ดเหงื่อ หรือบางครั้งก็เอามาทำผ้ากันเปื้อน ฯลฯ
- หมวกสวมกันแดด
- พัดหรือพัดลมแบบพกพา
- แพมเพิสและชุดสำรอง เอาไว้เปลี่ยนตอนดูบอลเสร็จ
- เสื้อกันฝนสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ (จำเป็นมากหากไปดูบอลช่วงฝนตกซึ่งฝนก็ตกหนักจริงๆ T^T)
- รถเข็นเด็ก สำหรับการดูบอลแมทช์เล็กคนไม่เยอะและมีที่ว่างพอสำหรับวางรถเข็นได้โดยไม่รบกวนคนอื่น มาม๊าคิดว่าการนำรถเข็นไปมีประโยชน์มากเวลาน้องนอนหลับ แต่สำหรับแมทช์ใหญ่ไม่สามารถนำรถเข็นไปได้ต้องใช้แขนคุณป๋าในการอุ้มอย่างเดียวเท่านั้น 555+

วันนั้นฝนตกหนักมากจริงๆถึงแม้จะมีหลังคาแต่หนูก็อาจโดนละอองฝนได้ หนูเลยต้องใส่เสื้อกันฝนไว้ก่อนค่ะ :)


วางแผนการเดินทาง
ควรวางแผนการเดินทางไปกลับว่าจะเดินทางอย่างไร ใช้บริการรถสาธารณะหรือรถส่วนตัว สำหรับบ้านน้องอายอยู่ไกลจากสถานที่แข่งขันมากประกอบกับการแข่งขันเสร็จค่อนข้างดึกเราจึงตัดสินใจที่จะนำรถส่วนตัวไป ดังนั้นจึงต้องคิดเรื่องที่จอดรถเป็นลำดับถัดมาเพราะในวันที่จัดการแข่งขันไม่สามารถนำรถเข้าไปจอดในสนามได้ คุณป๋าจัดแจงหาข้อมูลจนพบที่ให้บริการจอดรถหลังสนามซึ่งไม่ไกลจากสนามมากนัก แต่ก็ต้องออกจากบ้านโดยเผื่อเวลาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวเนื่องจากที่จอดรถมีจำนวนจำกัด

บัตรเข้าชมฟุตบอลและการเลือกโซนที่นั่ง
เพื่อความสะดวกที่สุดในการพาลูกเล็กไปดูการแข่งขันฟุตบอล คุณป๋าจึงต้องซื้อบัตรล่วงหน้าทาง Thaiticket major และให้จัดส่งที่บ้านโดย DHL เพื่อจะได้ไม่ต้องฝ่าฝูงชนและแดดร้อนไปรับบัตรหน้าสนาม แต่ก็เกิดความผิดพลาดในการจัดส่งทำให้เราต้องเผื่อเวลาไปถึงสนามให้เร็วขึ้นอีกเพื่อไปรับบัตรหน้างาน (-*-)

สำหรับโซนที่นั่งที่เหมาะกับการพาเด็กเล็กไปดู หากเป็นไปได้ควรเลือกแบบมีหลังคาเพื่อป้องกันฝนตก (หากดูในช่วงกลางวันควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึง) เลือกบริเวณที่เป็น "โซนเงียบ" นั่นคืออยู่ห่างไกลออกมาจากโซนกองเชียร์ที่มีการร้องเพลงหรือตีกลองเสียงดัง และเลือกนั่งบริเวณริมทางเดินเพราะหากต้องลุกขึ้นเพื่อพาน้องเดินบ่อยๆจะได้ไม่รบกวนการดูฟุตบอลของคนอื่นๆ

การดูแลเด็กๆเมื่อพาไปชมฟุตบอลที่สนาม
ตามธรรมชาติของเด็กในวัยนี้จะมีความสนใจในสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เด็กน้อยนั่งดูบอลอยู่นิ่งๆเป็นเวลานาน ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจที่จะพาลูกออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการเตรียมความพร้อมนั่นคือการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด หากน้องเบื่อหรือเริ่มมีทีท่าว่าจะโยเยควรรีบพาเดินเพื่อเปลี่ยนอิริยาบทหรือเบี่ยงเบนความสนใจไปที่สิ่งต่างๆรอบตัวแทน

ต้องบอกว่ามาม๊าค่อนข้างโชคดีที่วันนั้นน้องอายยอมนอนกลางวันก่อนออกจากบ้านจึงไม่หงุดหงิดโยเยเพราะง่วงนอนในช่วงกลางวันเลย จนกระทั่งถึงช่วงเย็นก่อนการแข่งขันก็ถึงเวลาที่น้องง่วงนอน มาม๊าเลยต้องให้น้องอายจุ๊บนมบนสเตเดี้ยมและปล่อยนางหลับไปจนถึงเวลาเริ่มการแข่งขันโดยมีป๋าเป็นผู้อุ้มหลักอย่างเป็นทางการ 555+




พอได้นอนจนอิ่มตื่นขึ้นมาก็คึกคักได้เต็มที่ น้องอายดูตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศใหม่ๆและผู้คนรอบข้าง นั่งปรบมือ เชียร์บอล ดูฟุตบอลไปกับคุณป๋าได้เกือบทั้งแมทช์ งานหนักที่สุดสำหรับน้องอายและคุณป๋าเห็นจะเป็นเรื่องที่น้องยังทานนมแม่อยู่ พอเริ่มเบื่อเริ่มง่วงก็จะอยากโผเข้าหามาม๊าจุ๊บนมหม่ำๆ คุณป๋าเลยต้องคอยเบี่ยงเบนความสนใจอยู่ตลอดไม่ว่าจะหลอกล่อด้วยขนม ชวนร้องเพลง หรือพาไปเดินเล่น




ไม่น่าเชื่อว่าน้องสามารถอยู่ดูการแข่งขันได้จนจบ และยังสามารถอยู่ดูจนถึงพิธีมอบรางวัลอีกด้วย คุณป๋าดูมีความสุขปลื้มอกปลื้มใจรีบวางแผนพาหนูน้อยไปดูฟุตบอลแมทช์ต่อไปเลยทันที - -")

เช้าตรู่วันถัดมา หนูตื่นพร้อมความสดใสทักทายป๋าและมาม๊าว่า Thailand Thailand !!



My first shoes | รองเท้าคู่แรกของหนู เลือกอย่างไรดีนะ?

ไม่นานมานี้มาม๊าเห็นข่าวเด็กน้อยได้รับบาดเจ็บจากการใส่รองเท้า วันนี้เลยถือโอกาสมาแชร์วิธีการเลือกรองเท้าสำหรับเด็กน้อยวัยหัดเดินกันค่ะ

การเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับวัยจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆของลูก ทำให้ก้าวแรกของลูกมีความมั่นคงทั้งยังช่วยปกป้องเท้าน้อยๆให้ปลอดภัยอีกด้วย ดังนั้นวันนี้มาม๊าอยากชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรองเท้าที่เหมาะกับวัยของลูกกันนะคะ เพราะการสวมใส่รองเท้าที่ดีจะทำให้เด็กๆของเรามีความมั่นใจและมีความสุขในการก้าวเดินต่อไป :D



ควรซื้อรองเท้าให้ลูกเมื่อไหร่ดี

คุณพ่อคุณแม่ควรซื้อรองเท้าเมื่อน้องเดินได้คล่องแล้วประมาณ 2-3 สัปดาห์ และควรพาน้องไปวัดขนาดเท้าจริงเมื่อซื้อ ให้ทดลองใส่เดินว่าสามารถเดินได้คล่องดีหรือไม่ รองเท้าหลวมหรือคับเกินไปรึเปล่า เพราะหากซื้อรองเท้าที่ไม่พอดีกับเท้ามาใส่จะทำให้ลูกเกร็งเท้าขณะเดินและอาจไม่อยากเดินเพราะไม่สบายเท้านั่นเอง

ควรซื้อรองเท้าแบบไหนดี

ลักษณะของรองเท้าที่เหมาะสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ 
คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกรองเท้าแบบหุ้มข้อเพื่อช่วยประคองข้อเท้าน้อยๆของลูก จับดูพื้นรองเท้าควรจะนิ่มเพื่อป้องกันการเสียดสีกับเท้า ตัวรองเท้าไม่หนาหรือบางจนเกินไป มีน้ำหนักเบาและไม่ลื่นขณะเดิน ลักษณะของรองเท้าควรเลือกรองเท้าที่มีหัวกว้างหรือป้านเพื่อไม่ให้นิ้วเท้าของลูกถูกบีบรัด โดยมีช่องว่างเหลือบริเวณหัวแม่เท้าและนิ้วที่ยาวที่สุดห่างจากขอบรองเท้าประมาณ 1-1.5 ซม. เผื่อขนาดเวลาใส่ถุงเท้าด้วยนะคะ ควรเลือกแบบแปะตีนตุ๊กแกจะทำให้ใส่รองเท้าได้ง่ายสำหรับเด็กวัยวุ่นวายแบบนี้ :)

วัสดุของรองเท้าที่เหมาะสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ
คุณพ่่อคุณแม่ควรเลือกรองเท้าที่ทำจากวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าใบ หนัง ผ้าฝ้าย และหลีกเลี่ยงวัสดุที่ทำจากพลาสติกเพราะการระบายเหงื่อได้ไม่ดีทำให้ลูกเหงื่อออกที่เท้าได้ง่ายจนอาจทำให้เดินไม่สะดวกและทำให้เป็นเชื้อราได้ง่าย ควรตรวจดูการตัดเย็บด้านในรองเท้าด้วยว่าไม่มีรอยต่อตะเข็บหรือขอบแข็งๆเพราะจะทำให้เกิดการเสียดสีทำให้เกิดแผลถลอกกับเท้าของหนูได้

ภาพจาก www.striderite.com


ซื้อกี่คู่ดีล่ะ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า "เท้าเด็กมีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เด็กแรกเกิดจนถึงสามปีเท้าจะโตประมาณปีละหนึ่งนิ้ว" (ข้อมูลจากเว็บไซต์ HealthToday) เด็กวัยนี้โตเร็วมาก คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อรองเท้าหลายคู่เกินไป เพราะเด็กน้อยใส่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องเปลี่ยนคู่ใหม่กันแล้ว (และราคารองเท้าเด็กดีๆก็แพงเอาเรื่องอยู่นะคะคุณ T^T) ซื้อเพียง 2-3 คู่ไว้ใส่สลับสับเปลี่ยนกันก็พอค่ะ สำหรับน้องอายมีรองเท้า 3 คู่ ไว้ใส่สำหรับการทำกิจกรรมที่่แตกต่างกัน

1. รองเท้าสำหรับใส่เดินทั่วไป หรือ สำหรับใส่ไปเที่ยว
เลือกแบบและดีไซน์ที่ดูกลางๆสามารถใส่ได้กับทุกชุด รองเท้าคู่แรกของหนูคือคู่นี้ รองเท้าของ Pediped ราคา 2,200 บาท เป็นรองเท้าหนัง พื้นนุ่มใส่สบาย มีน้ำหนักเบา ดีไซน์น่ารักสามารถใส่ได้หลายโอกาส

Pediped เป็นรองเท้าที่มาม๊าปลื้มในคุณภาพแต่ shop นั้นหายากกกและราคาแอบแรงอยู่เหมือนกัน หากใครสนใจรองเท้า Pediped ราคาน่าคบ ลองเข้าไปดูได้ที่งาน BBB หรือ FB: Pediped Thailand นะคะ :D

 ภาพรองเท้า Pediped จาก www.pacificpoint.co.th




2. รองเท้าสำหรับใส่ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม Outdoor
คู่นี้ซื้อเพราะป๋าอยากพาน้องอายไปวิ่งมินิมาราธอน ใช่ค่ะถูกต้องแล้ว!! น้องอายไปวิ่งมินิมาราธอนกับป๋าและมาม๊าตอนอายุได้ขวบนิดๆ โถวลูกเฮลตี้แต่เด็ก (จริงๆแล้ววิ่งแค่ร้อยเมตรก่อนเข้าเส้นชัยแค่นั้นเอง ^^")

รองเท้าสำหรับใส่ลุยๆหน่อยคู่นี้เป็นของ Chicco ราคา 1,300 บาท เป็นลักษณะรองเท้าผ้าใบ พื้นรองเท้านุ่ม ตัวรองเท้าเบาและซัพพอทเท้าได้ดี น้องอายใส่เดินใส่วิ่งแล้วดูสบายเท้าดี รองเท้าคู่นี้สำหรับไว้ใช้เมื่อต้องทำกิจกรรม Outdoor เช่น ไปสวนสาธารณะ ไปสนามเด็กเล่น เป็นต้น






3. รองเท้าแตะแบบมีสายรัดส้นเท้า
สำหรับเด็กวัยนี้การเล่นแบบเลอะๆเทอะๆคือกิจกรรมสำคัญ !! ดังนั้นจึงควรมีรองเท้าไว้ใส่เล่นและทำกิจกรรมทั่วไปในบ้านซักคู่ เอาไว้ตอนเล่นดินทราย ช่วยป๋าตัดหญ้า ช่วยมาม๊ารดน้ำต้นไป กล่าวคือเป็นรองเท้าคู่ที่ต้องเลอะเทอะเปรอะเปื้อนและโดนน้ำบ่อยๆนั่นเอง ดังนั้นมาม๊าจึงตัดสินใจซื้อรองเท้าแตะรัดส้น ด้วยวัสดุที่ทำจากพลาสติก ยี่ห้อ havaianas ราคา 900 บาท (น้ำตาไหล T^T)



การเลือกรองเท้าแตะที่ทำจากพลาสติกคุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังในการเลือกมากๆนะคะ ควรเลือกพลาสติกคุณภาพดี ไม่มีขอบคมๆที่อาจจะบาดเท้าของลูกได้ สำหรับเด็กเล็กที่เพิ่งหัดเดินและยังเดินไม่คล่อง ไม่แนะนำให้ใช้รองเท้าแตะเพราะว่าไม่ห่อหุ้มเท้า ทำให้ลูกกลัวว่ารองเท้าจะหลุดและจิกนิ้วเท้าหรือเกร็งเท้าไว้ไม่ลงน้ำหนักที่เท้าอย่างถูกต้อง เพราะว่ากลัวลื่นล้ม ทำให้ไม่กล้าเดินค่ะ

การเลือกรองเท้าของลูกนั้นไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไปใช่มั๊ยละคะ มาม๊าหวังว่าคุณพ่อคุณแม่หลายๆคนคงจะได้ไอเดียเพื่อซื้อรองเท้าให้เจ้าตัวเล็กไว้ใส่กันบ้างแล้วนะคะ <3


Sunday, June 5, 2016

Walk, walk, walk with me (10 months)

วันนี้มาม๊ามาแชร์เรื่องการหัดเดินของน้องอายค่ะ น้องอายเดินได้ตอนอายุเกือบๆ 11 เดือน ซึ่งเป็นวันที่ครอบครัวเราไปเที่ยวชะอำด้วยกันพอดี ตอนนั้นมาม๊าชวนน้องอายเดินไปดูเป็ด เด็กน้อยตื่นเต้นอยากดูเป็ดว่ายน้ำมากๆจนเดินเตาะแตะได้ในที่สุด \^^/



เมื่อพูดถึงการหัดเดินของลูก คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงมีคำถามในใจว่าเจ้ารถหัดเดินนั้นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ก่อนอื่นขอยกตัวอย่างบทความเรื่องรถหัดเดินที่หลายคนนิยมใช้มาแชร์กันก่อนนะคะ เป็นข้อมูลสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังฝึกน้องหัดเดินค่ะ ลองพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียกันดูนะคะ

รถหัดเดิน‬ ช่วยให้ลูกเดินเร็วขึ้น จริงหรือไม่ บทความจากเพจป้าหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ และ Should I buy my baby a baby walker? บทความจากเว็บไซต์ Baby centre ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มาม๊าใช้หาข้อมูลมาตลอดตั้งแต่ตั้งท้องน้องอาย

จากการศึกษาข้อมูลมาพอสมควรทำให้ป๋ากับมาม๊าตกลงกันว่าจะไม่ใช้รถขาไถหรือรถหัดเดิน ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ข้อ
  • ทำให้เด็กเดินผิดวิธี เนื่องจากรถขาไถนั้นมีล้อทำให้เคลื่อนที่ไปเร็ว เด็กจึงต้องเดินเขย่งปลายเท้าเพื่อให้ทันกับความเร็วของรถทำให้ไม่ลงน้ำหนักเต็มเท้า ร่างกายจึงปรับสมดุลได้ไม่ดีส่งผลให้ทรงตัวด้วยตัวเองได้ยากลำบากเมื่อต้องเดินเอง 
  • อาจทำให้เกิดอันตรายได้จากการพลิกคว่ำ ลื่นล้ม พุ่งชน หรือจากการที่เด็กไถตัวเองไปหยิบของที่เป็นอันตรายโดยที่พ่อแม่ไม่ทันระวัง

แล้วจะสอนลูกให้หัดเดินอย่างไรดีล่ะ


คำแนะนำอย่างแรกในการฝึกลูกหัดเดินคือ ควรให้ลูกเดินเท้าเปล่า เพื่อให้ได้รับความรู้สึกจากฝ่าเท้าซึ่งจะมีผลต่อการทรงตัว มาม๊าให้น้องอายฝึกเดินในบ้านบนพื้นที่เรียบ หลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางหรือเหลี่ยมมุมอาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บ

ช่วงแรกของการหัดเดิน ป๋าและมาม๊าจะให้น้องอายยืนข้างหน้าป๋าและมาม๊ายืนข้างหลังหันหน้าออก และจับแขนบริเวณใต้รักแร้ทั้งสองข้างไว้ ให้น้องอายค่อยๆเดินทีละก้าวๆ ป๋าและมาม๊าก็จะค่อยๆเดินตาม


เมื่อน้องอายเริ่มตั้งไข่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองนานๆแล้ว มาม๊าและป๋าจะใช้วิธียืนห่างจากน้องอายประมาณ 2-3 ก้าว คอยปรบมือเชียร์เสียงดังๆให้น้องอายเดินมาหา พอเดินได้ก็ค่อยๆถอยห่างออกไปเรื่อยๆเพื่อให้เดินได้ระยะทางไกลขึ้น บางครั้งน้องอายก็กลัวล้มบ้างแต่ป๋ากับมาม๊าก็จะคอยเชียร์ดังๆให้กำลังใจ น้องอายก็จะค่อยๆมีความมั่นใจในการเดินมากขึ้น




เมื่อเริ่มเดินคล่องขึ้น ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้น้องอายหัดเดินอย่างมั่นคงและสนุกสนานของเราคือเจ้านี่คะ Plantoys Van walker เราตั้งชื่อให้นางว่า Blossza :D เกือบทุกๆเย็นเราจะหัดเดินกับ Blossza กัน ป๋ากับมาม๊านั้งอยู่คนละฝั่งให้น้องอายเข็น Blossza ไปหากลับไปกลับมาพร้อมส่งเสียงเชียร์ดังๆหรือร้องเพลงสนุกๆ กิจกรรมฝึกหัดเดินนี้น้องอายชอบมากถึงแม้จะมีล้มบ้างแต่ก็ไม่ร้องไห้เลย ผลักรถเดินกลับไปกลับมาวันละหลายรอบ สุดท้ายคนที่หมดแรงก่อนไม่ใช่ใครเลย ป๋ากับมาม๊านี่เอง ^^"






ในที่สุดก็ถึงวันที่นางไม่ยอมจับมือมาม๊าและป๋าเดินอีกแล้ว น้องอายเดินได้คล่องและมีความมั่นใจในการเดินมากขึ้นเมื่ออายุเกือบ 11 เดือน นับเป็นอีกพัฒนาการที่ป๋ากับมาม๊าภูมิใจและดีใจ :)

อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน มาม๊าเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนต้องกลุ้มใจในการตามหารองเท้าคู่แรกสำหรับเด็กวัยหัดเดินเหมือนกันกับมาม๊าแน่ๆ ไว้วันหลังจะมาคุยให้ฟังนะจ๊ะ xoxo












Saturday, June 4, 2016

First time at Kidzoona (10 months)

สวนสนุกสำหรับเด็กที่แรกที่น้องอายได้ลองเข้าไปเล่นนั่นคือ Kidzoona สวนสนุกในร่มสำหรับเด็ก ซึ่งภายในมีของเล่นสำหรับเด็กมากมายทั้งเด็กเล็กและเด็กโต สำหรับเด็กอายุไม่ถึง 1 ขวบอย่างน้องอายจะได้เข้าเล่นฟรี (และควรมีผู้ปกครองดูแลอย่างใกล้ชิด) :D



การเข้าไปเล่นในครั้งแรกนี้ น้องอายสนุกสนานกับการเล่นที่บ่อบอลและอุโมงค์พลาสติกกลิ้งได้ที่อยู่ในโซนเดียวกันมากๆ ส่วนโซนอื่นๆคงต้องรอหนูโตกว่านี้ละนะ ^^"

ในส่วนของบ่อบอล โดยปกติแล้วมาม๊าไม่ให้เด็กน้อยลงเล่นบ่อบอลตามสวนสนุกเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยและความสะอาด แต่สำหรับ Kidzoona (สาขา Paradise park ราชพฤกษ์) เรื่องความสะอาดนั้นถือว่าดีใช้ได้เลยทีเดียวเพราะมีกฎว่าทุกคนต้องสวมถุงเท้า และวันที่พาน้องอายไปเล่นป๋ากับมาม๊าเลือกวันธรรมดา (บางวันป๋าก็กลับบ้านเร็ว \^^/) คนจึงไม่เยอะทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความแออัดและความสะอาดมากนัก





สำหรับอุโมงค์พลาสติกกลิ้งได้ (มาม๊าไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเรียกเจ้าของเล่นยักษ์นี้ว่าอะไร) น้องอายก็ชอบมากเช่นกัน อาจจะเพราะได้ปีนป่ายได้ตามใจ ส่งเสียงคิกคักเมื่อป๋าไปยืนด้านตรงข้ามแล้วหนูได้กลิ้งอุโมงค์ไปทับป๋า เด็กน้อยสนุกสนานและดูตื่นเต้นมากๆเลยทีเดียว






นอกจากของเล่นแล้ว ยังมีกิจกรรมสันทนาการอีกด้วย น้องอายโชคดีที่ไปเล่นในช่วงเวลาที่จะมีกิจกรรมเต้นเข้าจังหวะพอดี มาม๊ากับป๋าเลยได้เห็นความตื่นตาตื่นใจของเด็กน้อยอีกครั้ง :3


คุณพ่อคุณแม่ท่านใดสนใจรายละเอียดก็เข้าไปเช็คราคาได้ที่เว็บไซต์ของ Kidzoona กันได้เลย หรือจะลองเข้าไปดูภาพของเล่นต่างๆภายใน kidzoona ได้ที่ Facebook Kidzoona Molly Fantasy , Paradise Park

สำหรับโซนของเล่นอื่นๆ มาม๊าและน้องอายจะมาเล่าให้ฟังในตอนหน้านะจ๊ะ xoxo


Friday, June 3, 2016

Let's play Zoo mask card (9 months)

วันหนึ่งมาม๊าเกิดความสงสัยว่า เด็กน้อยคิดและรู้สึกอย่างไรนะขณะเล่น Mask card และหัวเราะคิกๆตอนยก card มาทาบหน้าตัวเอง ชอบให้ป๋ากับมาม๊าพูดว่า Oh, this is  monkey eye หรือ zebra eye เด็กน้อยเข้าใจและสนุกขนาดไหน ดูเหมือนว่าลูกยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจการเล่นแบบนี้รึเปล่านะ :)



จากบทความ เลี้ยงลูกให้ได้ดี ของนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้กล่าวถึงวิธีการคิดของเด็กเล็กว่า ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ล้วนมีชีวิต จึงไม่แปลกที่เด็กเล็กชอบฟังนิทาน ชอบเล่ันตุ๊กตา (หรือติดตุ๊กตา) เพราะเค้าคิดว่าทุกอย่างมีชีวิตนั่นเอง
วิธีมองโลกและคิดของลูกๆอย่างแรกๆคือ animism หมายถึงอะไรที่เคลื่อนไหวได้ล้วนมีชีวิต ด้วยความหมายนี้ตุ๊กตารอบตัวที่พ่อแม่นำมาเล่นกับเขาจึงมีชีวิต หนังการ์ตูนที่เขาเห็นจึงมีชีวิต (แต่ห้ามเด็กน้อยกว่า 2 ขวบดูทีวี) 
มากกว่านี้ ต้นไม้ก้อนหินก้อนเมฆพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งที่มีหน้าตาและพูดได้ในนิทานก็มีชีวิต นิทานประกอบภาพที่เขียนภาพและคำโน้มน้าวให้เคลื่อนไหวก็มีชีวิต หนังสือการ์ตูนก็มีชีวิตด้วย นี่คือวิธีคิดพื้นฐาน ฐานดียอดจึงจะดี ดังนั้นอ่านหนังสือนิทานกับลูกตั้งแต่คืนนี้และอ่านทุกคืนนานที่สุดจนกระทั่งเขาไม่เอาเรา 
เราสร้างฐานที่ดีให้ลูกได้ ฐานดี อย่างไรยอดก็ดี

เมื่อป๋ากับมาม๊าอ่าน card ลิงกำลังกินกล้วย มาลายกำลังยิ้มให้น้องอาย

ในใจหนู ม้าลายคงกำลังยิ้มหวานจริงๆ ^^